1.
ทำไมลิสต์ของหนังที่อยากดูแต่ไม่ได้ดูซักทีมันถึงยาวขึ้นเรื่อย ๆ
ทำไมเราถึงมานั่งเล่น Civ V ทั้ง ๆ ที่เล็ง GRIS กับ Obra Dinn ไว้หลายเดือนแล้ว ทำไมเราถึงดู 30 Rock ต้นจนจบเจ็ดซีซั่นแต่ปล่อย Maniac คาไว้ที่ episode 1 และทำไมเรารอจน Isle of Dogs เข้าโรง จนออกโรงไปนานแล้วก็ยังไม่ได้ดู แต่ตอนอยู่บนเครื่องบินเรากลับเลื่อนผ่าน Isle of Dogs ไปดู Ocean’s 8 แทน
นึก ๆ ดูก็น่าจะเป็นเพราะ GRIS หรือ Maniac หรือ Isle of Dogs มัน… มันอาร์ตเกินมั้ง? เหมือนกับเราดูเทรลเลอร์หรือชื่อนักแสดง ผู้กำกับอะไรอย่างงี้แล้วเอาคุณค่าไปผูกกับมันมากเกิน คิดว่ามันต้องดีทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เล่น ยังไม่ได้ดู ในขณะที่ 30 Rock มันเข้าถึงง่าย เหมือนฟาสต์ฟู้ด ดูเมื่อไหร่ก็ได้ (เข้าถึงได้ง่ายกว่าแต่ไม่ใช่ว่า Civ V หรือ 30 Rock ไม่ดีนะ กลับกันเลย ยิ่ง 30 Rock เนี่ยสุดยอด — ส่วน Ocean’s 8 ขอไม่เสียเวลาแก้ต่างให้)
พอคิด (เอาเอง) ว่าของอาร์ต ๆ อย่างงี้มันต้องตั้งใจดู ต้องใส่ใจเล่น เวลาเปิดเน็ตฟลิกซ์แล้วเห็น Maniac อยู่ตรงช่อง My List พร้อมกับหน้าของ Jonah Hill ขมวดคิ้วใต้แสงสีฟ้า เราเลยไม่มีอารมณ์ดู
2.
ถ้าตัวตนของคนเราประกอบไปด้วยหนังที่เคยดู หนังสือที่เคยอ่าน สื่อต่าง ๆ ที่เคยอนุญาตให้แล่นผ่านสัมผัสทั้งห้าเข้ามาอาศัยในสมอง ค่อย ๆ บ่มเพาะความคิดของเรา ทัศนคติของเรา
แล้วสื่อที่เราไม่เคยบริโภคล่ะ บอกอะไรกับตัวเราได้บ้าง?
นักวิจารณ์หนัง A. O. Scott พูดถึงเรื่องนี้ในหนังสือของเขา Better Living Through Criticism ว่า “And what about all the stuff you hate, or don’t care about, or never got around to trying? The movies stranded in the Netflix Queue, the unread novels piled on the nightstand, the show you somehow kept missing — what do those things say about you?”
คุณสก็อตต์ไม่ได้ให้คำตอบหรืออธิบายอะไรเพิ่มเติม เพราะประโยคข้างต้นไม่ใช่ประเด็นที่แกจะพูดถึงในหนังสือ แต่เราก็อดนึกถึงไม่ได้
หรือไม่มันก็บอกแค่ว่าเราเป็นคนขี้เกียจ บาย
3.
เมื่อเร็ว ๆ นี้เราเพิ่งดู Make Happy เดี่ยวไมโครโฟนกึ่งคอนเสิร์ตกึ่งมิวสิคัลของ Bo Burnham — อีกหนึ่ง ‘ฟาสต์ฟู้ด’ ที่กะจะเปิดฟังไปทำงานไป แต่ฮาจนต้องตั้งใจดูจนจบ
Make Happy นั้นถึงจะเป็นเดี่ยวไมโครโฟน แต่จริง ๆ แล้วมุกแต่ละมุกถูกแบ่งออกเป็นฉาก ๆ ไม่เกี่ยวเนื่องกันเท่าไหร่ ไม่มีประโยคเชื่อมโยงจากมุกนึงไปอีกมุกนึงเหมือนเดี่ยวไมโครโฟนทั่ว ๆ ไป ก็เลยจะมีหลายครั้งที่โบ ‘รีเซ็ต’ อารมณ์คนดู มีตอนนึงพูดว่า “Reset momentum, I cannot be coasting on the inertia of past jokes. Need to earn it.”
เพราะเขาไม่อยากให้อารมณ์ของคนดูจากมุกนึงมาเจือปนอารมณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นจากมุกต่อไป เหมือนซูชิที่มีขิงดองเสิร์ฟมาบนจานไว้ล้างปาก รสชาติจากซูชิคำนึงจะได้ไม่ไปกระทบซูชิอีกคำ
แต่เอาเข้าจริงเวลาเราดูหนังดี ๆ เราก็ไม่ได้รีเซ็ตตัวเองเหมือนกัน ตอนเริ่มดู Black Mirror ก็เปิดดูเล่น ๆ จนไป ๆ มา ๆ ก็จดจ่อกับมันจนจบ อย่าง Make Happy ที่เพิ่งพูดถึงไปก็เหมือนกัน หรือเราไม่ควรไปใส่ใจกับการรีเซ็ต เพราะถ้าหนังดีจริง มันก็จะรีเซ็ตเราให้เอง
หรือหนังที่ดีต้องมีขิงดองในตัว
ปล. ระหว่างวันที่เริ่มเขียนโพสนี้จนปัจจุบัน เราได้เล่น GRIS จนจบแล้ว และดู Maniac ไปครึ่งซีซั่นแล้ว ขอคอนเฟิร์มว่าทั้งสองอย่างมีขิงในตัวจริง ๆ